ยินดีต้อนรับ สู่บล็อกวิชาก้าวทันโลกศึกษา

บทสรุป


                         การปรับตัวของประเทศไทยในสังคมโลก
                             (ข้อมูลจาก http://web.kku.ac.th/myongy/text/f5.htm)
ความนำ
                   สังคมโลกได้พัฒนามาสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ หรือยุคไร้พรมแดนอันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ  โลกาภวัฒน์ส่งผลกระทบต่อสังคมไทยทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขื้น ตั้งแต่ ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ซึ่งมีผลมาถึงปัจจุบัน ประเทศไทยฐานะหน่วยหนึ่งของสังคมโลก จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดซึ่งได้ดำเนินมาตลอดช่วงเวลาอันยาวนาน นับตั้งแต่ชาติตะวันตกได้แผ่อิทธิพลเข้ามา ซึ่งมีรูปแบบและวิธีการปรับตัวที่สะท้อนให้เห็นถึงกุศโลบายอันแยบยลของผู้นำไทยที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล เข้าใจสภาพความเป็นจริงระหว่างประเทศ สามารถดำเนินนโยบายที่ชาญฉลาด โดยยอมเสียสละบางอย่างเพื่อรักษาเอกราชและอิสระภาพของประเทศไว้
 การปรับตัวของไทยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
                   ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยต้องมีการปรับตัวที่สำคัญที่สุด คือ ภัยคุกคามจากลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก ทำให้เราต้องเปิดประเทศติดต่อกับตะวันตก และเริ่มปรับตัวเข้าสู่ยุดใหม่ นับตั้งแต่การทำสนธิสัญญาเบาว์ริง กับประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1855 (พ.ศ. 2398) เป็นต้นมา จากนั้นสังคมไทยก็มีการปรับตัวมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
                   1. การปรับตัวของไทยหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง
                   สนธิสัญญาเบาว์ริงเป็นสนธิสัญญาทางพระราชไมตรีที่ไทยทำกับประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1855 เป็นสนธิสัญญาที่บังคับให้ไทยต้องเปิดการค้าเสรีกับประเทศอังกฤษ ภายหลังได้มีประเทศตะวันตกชาติอื่นๆ เข้ามาขอทำสนธิสัญญากับไทยเช่นเดียวกับสนธิสัญญาเบาว์ริง สัญญาเหล่านี้เป็นสัญญาที่บังคับให้ไทยต้องเปิดการค้าเสรีกับประเทศตะวันตกไทยไม่มีทางเลี่ยงจึงจำเป็นต้องทำในภาวะจำยอม
                   ภายหลังการทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งระบบเศรษฐกิจไทยได้เชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจโลก ระบบการผลิตของไทยเปลี่ยนจากการผลิตเพื่อยังชีพเป็นการผลิตเพื่อการค้า การค้าขยายตัวมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายเพิ่มมากขึ้น ผลกระทบจากสนธิสัญญาเบาว์ริ่งทำให้ไทยต้องมีการปรับตัวทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง ดังนี้
                                1.1 การปรับปรุงด้านขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรม เป็นการเปลี่ยนแปลงด้านสังคม โดยการปรับปรุงประเพณีที่ล้าสมัยและส่งเสริมการเรียนภาษาอังกฤษ การเปิดโอกาสให้พวกมิชชันนารีเข้ามาตั้งโรงเรียนสอนศาสนา ตั้งโรงพิมพ์ ออกหนังสือ Bangkok Recorder และเผยแพร่วิทยาการด้านต่าง ๆ การส่งเสริมการศึกษา การตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน เพื่อฝึกคนเข้ารับราชการ การส่งคนไทยไปศึกษาต่างประเทศ ที่สำคัญที่สุด คือ การเลิกทาส และเลิกระบบไพร่
                                1.2  การปฏิรูประบบเงินตราและการธนาคาร เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ การปฏิรูปเงินตรา การออกธนบัตร การตั้งหน่วยงานกลางสำหรับเก็บภาษี การตั้งกระทรวงการคลัง การเปลี่ยนแปลงมาตรฐานเงินตราจากมาตรฐานเงินเป็นมาตรฐานทองคำ การจัดทำงบประมาณแผ่นดิน การปรับปรุงด้านการเกษตร และการชลประทาน การตัดถนน ขุดคลอง การไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ การรถไฟ เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางระหว่างเมืองหลวงกับหัวเมือง
                                1.3 การปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน เป็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองจากเดิมเปลี่ยนมาเป็นแบบกระทรวง ทบวง กรม ยกเลิกการปกครองแบบกินเมือง เปลี่ยนเป็นการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ รวมอำนาจการบริหารเข้าสู่ส่วนกลาง เพื่อให้เกิดความเป็นเอกภาพภายในชาติ เพื่อต่อสู้กับอิทธิพลของลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตก โดยเฉพาะฝรั่งเศสและอังกฤษ การปรับปรุงกองทัพ การปรับปรุงด้านกฎหมายและการศาลให้ทันสมัย การจ้างชาวต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะด้านกฎหมายระหว่างประเทศและที่สำคัญที่สุดคือการเสียดินแดนในปี ค.ศ. 1893 (พ.ศ. 2436 หรือ ร.ศ. 112) เพื่อแลกตัวเอกราชของชาติ
                   การปรับตัวของไทยดังกล่าวทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ ประเทศตะวันตกจึงไม่สามารถเอามาเป็นข้ออ้างในการแผ่อำนาจเข้ามาโดยอ้างว่าเพื่อจะมาพัฒนาให้ทันสมัย การปรับตัวดังกล่าวนับเป็นความชาญฉลาดของผู้นำไทยในอดีตที่มองการณ์ไกล และรู้เท่าทันโลก

The first World War 1914-1918
                   2. ไทยในสงครามโลกครั้งที่ 1
                   สงครามโลกครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นในยุโรปเมื่อเดือนสิงหาม ค.ศ. 1914 ระหว่างฝ่ายมหาอำนาจกลางอันมีเยอรมนี ออสเตรีย ฮังการี กับฝ่ายสัมพันธมิตร อันมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย ในระยะแรกไทยประกาศตัวเป็นกลาง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวิเคราะห์ สถานการณ์ในขณะนั้น แล้วเห็นว่าเราควรเข้าร่วมสงครามโดยเข้ากับฝ่ายสัมพันธมิตร ซึ่งกำลังได้เปรียบในสงคราม เพื่อไทยจะได้มีโอกาสแก้ไขสัญญาที่เสียเปรียบ ผลจากการที่ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้นานาประเทศรู้จักประเทศไทยและไทยได้มีโอกาสเรียกร้องขอแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ทำไว้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และข้อเสียเปรียบหลายประการได้รับการแก้ไขหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มาสำเร็จบริบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่ 8
                   3. ไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2
                   สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในยุโรป เมื่อวันที่ 3 กันยายน ค.ศ. 1939 ในระยะแรกที่ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ำต่อเยอรมนี ไทยได้ทำการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส แต่ฝรั่งเศสปฏิเสธไทยกับฝรั่งเศสจึงเกิดกรณีพิพาทกัน ต่อมาญี่ปุ่นเข้ามาไกล่เกลี่ยในปี ค.ศ. 1941 ไทยได้ดินแดนฝั่งขวา แม่น้ำโขง และเขมรส่วนในคือเสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ ที่เสียให้ฝรั่งเศสกลับคืนมา

World War II in Europe
                   ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1941 ญี่ปุ่นได้เปิดฉากโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์ ฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกา ในหมู่เกาะฮาวายและญี่ปุ่นได้ส่งกำลังเข้าโจมตีไทย ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 ไทยไม่สามารถต้านทานญี่ปุ่นได้ จึงต้องยอมให้ญี่ปุ่นตั้งฐานทัพในประเทศไทยและไทยได้ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1942 การประกาศสงครามของไทยครั้งนี้มีคนไทยที่ไม่เห็นด้วยได้รวมตัวตั้งเป็นขบวนการเสรีไทย เพื่อร่วมมือกับสัมพันธมิตรและต่อต้านญี่ปุ่น หัวหน้าขบวนการเสรีไทยที่สำคัญคือ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา และม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัฒน์ หัวหน้าเสรีไทยในประเทศอังกฤษ และนายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้าเสรีไทยในประเทศไทย รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ให้การรับรองการกระทำของเสรีไทย และให้ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจและฝึกอาสาสมัครที่จะเข้ามาปฏิบัติงานในเมืองไทย

world war II in pacific


ไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2
                   สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น นายควง อภัยวงศ์ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม ค.ศ. 1945 ไทยได้ออกประกาศว่า การประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 25 มกราคม ค.ศ. 1942 นั้นเป็นโมฆะ เพราะจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีได้ประกาศสงครามโดยพลการ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาประกาศรับรองคำประกาศของไทย แต่อังกฤษไม่ยอมรับรอง ไทยได้เจรจาต่อรองกับอังกฤษและต้องยอมคืนดินแดนในมลายู และแคว้นฉานที่ได้มาระหว่างสงคราม และไทยต้องจัดส่งข้าวสารจำนวนหนึ่งล้านห้าแสนตันแก่อังกฤษ โดยไม่คิดมูลค่า และต้องยอมคืนดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงและดินแดนเขมร ส่วนใน อันได้แก่ เสียมราฐ (Siem Reap หรือ นครวัด นครธม) พระตะบอง (Battambong) และศรีโสภณ (Banteay Mean Chey) ที่ได้มาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 คืนแก่ฝรั่งเศส ความร่วมมือกับประเทศมหาอำนาจครั้งนั้นทำให้ไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1946 เป็นสมาชิกลำดับที่ 55 การปรับตัวช่วงนี้ของไทยนับว่ามีความสำคัญมาก เพราะเป็นช่วงที่อยู่ในภาวะคับขัน ต้องใช้ปัญญาและความสามารถของผู้นำในการเจรจาต่อรอง และยอมแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ต่าง ๆ ตามข้อเรียกร้องของชาติมหาอำนาจสามารถพาชาติฝ่าฟันวิกฤตมาได้

ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช
นายปรีดี  พนมยงค์
นายควง อภัยวงศ์
เสรีไทย
การปรับตัวของไทยในยุคสงครามเย็น
                   หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดภาวะสงครามเย็นอันเป็นผลมาจากการแข่งขันด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และกำลังอาวุธ  ระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โลกถูกแบ่งออกเป็น 2 ค่าย คือ โลกเสรี และโลกคอมมิวนิสต์ มหาอำนาจทั้ง 2 ฝ่ายพยายามเข้ามาแทรกแซงการเมืองในภูมิภาคต่าง ๆ จนนำไปสู่วิกฤตการณ์การต่อสู้อันเนื่องมาจากความขัดแย้งเรื่องอุดมการณ์ทางการเมือง และเนื่องจากสหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลือประเทศไทย จนเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ชนะสงคราม ไทยจึงเลือกให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในสภาวะสงครามเย็น จนเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ชนะสงคราม ไทยจึงเลือกให้การสนับสนุนสหรัฐอเมริกาในสภาวะสงครามเย็นอันเป็นผลให้สหรัฐอเมริกาเข้ามามีอิทธิพลต่อไทยทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
                                2.1  การเข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศ  ภายหลังจากที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์นำโดยโฮจิมินห์ (Nguen That Thanh) ได้รับชัยชนะในสงครามกอบกู้เอกราชของเวียดนาม ทำให้สงครามเย็นแผ่เข้ามาในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อสหรัฐอเมริกาขยายบทบาททางทหารเข้ามาด้วยการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญา ป้องกันร่วมกันแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia Treaty Organization : SEATO) โดยมีสมาชิก 8 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ไทย ฟิลิปปินส์ และปากีสถาน ต่อมาในช่วงที่สหรัฐอเมริกาเริ่มถอนตัวออกจากสงครามเวียดนาม ในขณะที่จีนยังให้การสนับสนุนคอมมิวนิสต์ในประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไทยเกรงว่าจะเกิดช่องว่างอำนาจ จึงร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านก่อตั้งสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสมาคมอาเซียนขึ้นใน ค.ศ. 1967 เมื่อแรกตั้งเรียกว่า สมาคมอาสา(ASA) ปัจจุบันไทยได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การระหว่างประเทศทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก นับว่าเป็นการเสริมสร้างบทบาทในเวทีการเมืองของโลกและปกป้องผลประโยชน์ของไทยในระดับนานาชาติอีกด้วย
                                2.2 นโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศอินโดจีน เมื่อคอมมิวนิสต์ประสบชัยชนะในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 ไทยต้องปรับปรุงเปลี่ยนนโยบายอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับประเทศเพื่อนบ้านอิน โดจีน ภายหลังที่เวียดนามรุกรานกัมพูชาโดยสนับสนุนให้เฮง สัมริน ขึ้นปกครองกัมพูชาและขับไล่เขมรแดงหลบหนีมาอยู่ป่าตามแนวชายแดนไทยกัมพูชา โดยไทยและอาเซียนได้สร้างแนวร่วม กับประเทศมหาอำนาจ เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่นและยุโรปตะวันตก เพื่อสกัดกั้นการขยายอำนาจของเวียดนามที่ได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตและประเทศคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกและมุ่งมั่นในสันติภาพของภูมิภาคนี้
                   2.3 นโยบายผูกมิตรกับประเทศตะวันตก ในยุคสงครามเย็นไทยได้ผูกมิตรกับประเทศตะวันตกโดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ นโยบายต่างประเทศของไทยในระยะนี้คือการต่อต้านคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่อมาเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างจีนกับรัสเซีย และจีนหันมาปรับความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกา ไทยจำเป็นต้องปรับนโยบายโดยลดความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกาและเรียกร้องให้สหรัฐอเมริกา ถอนฐานทัพจากไทย แล้วหันไปสถาปนาความสัมพันธ์กับลาว กัมพูชา และเวียดนาม ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) การเมืองไทยได้ปรับเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตย มากขึ้น ประชาชนและพรรคการเมืองได้เข้ามามีบทบาทในการบริหารประเทศและได้มีการปรับเปลี่ยน นโยบายต่างประเทศของไทยให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระหว่างประเทศ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญคือ นายกรัฐมนตรี ม.ร.วคึกฤทธิ์ ปราโมช ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนเเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1975 โดยหวังจะได้รับผลประโยชน์ทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจ และสังคมและขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ก็เริ่มห่างเหินกันมากขึ้น
                   2.4 นโยบายการทูตเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจ หรือการทูตรอบทิศทาง ในปี ค.ศ. 1985 ไทยได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐอเมริกา จึงถูกสหรัฐอเมริกา ใช้มาตรการกีดกันการค้า ประเทศไทยได้ปรับตัวโดยนำการทูตเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจชักชวนให้นักธุรกิจมาลง ทุนในประเทศและประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ชาวต่างประเทศมาท่องเที่ยวมากขึ้น เป็นผลให้การลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนของญี่ปุ่น ชื่อเสียงของประเทศไทยจึงได้รับการยอมรับจากนานาชาติยิ่งขึ้น
                   2.5 นโยบายเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า หรือนโยบายอนุภูมิภาคนิยม (Sub-regionalism) ภายหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต สงครามเย็นยุติลง ไทยหันมาร่วมมือกับประเทศอินโดจีน โดยประกาศนโยบาย เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า เพราะเห็นโอกาสที่จะพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ ในรูปของความร่วมมืออนุภูมิภาค หรือความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทางภาคเหนือ มี ไทย พม่า จีน และลาว ต่อมาขยายเป็น ห้าเหลี่ยมเศรษฐกิจมี ไทย พม่า บังคลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา และหกเหลี่ยมเศรษฐกิจ มี จีน พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนทางใต้คือความร่วมมือสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ มี ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ในขณะเดียวกันไทยพยายามจะใช้โอกาสในการเปิดประตูสู่อินโดจีน โดยมีเป้าหมายหลักคือ อินโดจีน พม่า และอาเซียนในปี ค.ศ. 1992 ไทยได้ผลักดันให้มีการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ในช่วง ค.ศ. 2002 ได้เริ่มโครงการ สามเหลี่ยมมรกต (The Emeral Triangk) เพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย ลาว กัมพูชา
การปรับตัวของไทยในยุคโลกาภิวัฒน์
                   ภายหลังสงครามเย็นยุติลง สหรัฐอเมริกากลายเป็นผู้นำเพียงผู้เดียว ทั้งยังได้ประกาศระเบียบโลกใหม่ (New World Order) 4 ประการ คือ ระบอบประชาธิปไตย การค้าเสรี การเคารพสิทธิมนุษยชน และการปกป้องสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของโลกเปลี่ยนจากระบบ สองศูนย์อำนาจไปสู่หลายศูนย์อำนาจ เกิดการแข่งขันด้านเศรษฐกิจ การกีดกันการค้า การรวมกลุ่มกันด้านเศรษฐกิจตามภูมิภาคต่างๆ  เพื่อสร้างอำนาจต่อรองและถ่วงดุลกันด้านเศรษฐกิจ เช่น การรวมตัว เป็นตลาดเดียวของประชาคมยุโรป การจัดตั้งเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (NAFTA) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) เป็นต้น สถานการณ์เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคและในโลกและการแข่งขันที่ไร้พรมแดน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ไทยต้องมีการปรับตัวเพื่อกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจและเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน การปรับตัวที่สำคัญมีดังนี้
มลพิษ มากับความเจริญ

                   1.  การปรับตัวของไทยด้านสังคม กระแสโลกาภิวัฒน์ และระเบียบโลกใหม่ที่เน้นเรื่องการค้าเสรี ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโลกมีความเชื่อมโยงกัน การแพร่ขยายอิทธิพลทางการค้าของบริษัทข้ามชาติได้เข้ามาทำลายธุรกิจขนาดย่อมภายในประเทศ สภาวการณ์ดังกล่าวทำให้ไทยต้องปรับตัวเพื่อศักยภาพแห่งการแข่งขัน การปรับตัวที่สำคัญมีดังนี้
                                1.1 ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การพัฒนาแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 8 แสดงให้เห็นจุดเปลี่ยนของยุทธศาสตร์การพัฒนาที่หันมาให้ความสนใจเรื่องการพัฒนาแบบยั่งยืน และมียุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ เน้นการพัฒนาคนโดยถือว่าคนคือทรัพยากรที่สำคัญของชาติที่เรียกว่า ทรัพยากรมนุษย์ การรักษาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม การส่งเสริมระบบประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมการกระจายอำนาจจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรท้องถิ่น การสร้างประชารัฐ โดยมุ่งประสานรัฐกับประชาชนให้เป็นหนึ่งเดียวกัน การสร้างสังคมที่ร่วมกันแก้ปัญหาทุกอย่างแบบบูรณาการในรูปเบญจภาคี ประกอบด้วยชุมชน รัฐ นักวิชาการ องค์กรเอกชน และองค์กรธุรกิจ
                                1.2 ปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาท้องถิ่น โดยให้ความสำคัญกับคนในท้องถิ่นและมีความเชื่อว่าการพัฒนาจะต้องเกิดจากความต้องการของชาวบ้าน เพื่อประโยชน์ของชาวบ้านเอง ดังคำพูดที่ว่า คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน ยุทธศาสตร์การพัฒนานี้มีหลักการสำคัญ 5 ประการ คือ
                                                1.2.1 หลักการพึ่งตนเอง ซึ่งมีหลักการสำคัญ คือ พออยู่พอกิน
                                                1.2.2 ปรับเปลี่ยนวิธีการผลิต จากเพื่อการพาณิชย์ เป็นการผลิตเพื่อยังชีพ โดยมีเป้าหมายเพื่อกินเพื่อใช้ เมื่อมีส่วนเกิดจึงนำออกขาย และต้องกระจายการผลิตในครัวเรือนเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงแห่งชีวิต
                                                1.2.3 พัฒนาบนพื้นฐานของวัฒนธรรมชุมชน
                                                1.2.4 ให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาชาวบ้าน
                                                1.2.5 รวมกลุ่มเพื่อจัดตั้งองค์กรชุมชนหรือองค์กรชาวบ้าน เพื่อสร้างความเข้มแข็งและอำนาจต่อรองของภาคประชาชน
                                1.3 ปรับตัวตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 9 ค.ศ. 2002-2006 ที่นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญานำทางที่มีจุดเน้นคือการดำเนินการในทางสายกลางให้ก้าวทันโลก ความพอเพียงที่เน้นการผลิตและการบริโภคบนความพอประมาณและความมีเหตุผล ความสมดุลและการพัฒนาอย่างยั่งยืน เป็นการผลิตอย่างเป็นองค์รวม มีความสมดุลย์ระหว่างการแข่งขันจากกระแสโลกาภิวัฒน์ และกระแสท้องถิ่นนิยมมีความหลากหลายในโครงสร้างการผลิต มีการใช้ทุนที่มีอยู่ในสังคมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายวัฒนธรรมและภูมปัญญาที่ดี มีภูมิคุ้มกันที่ดี รู้เท่าทันผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นในการปรับตัว และเสริมสร้างจิตใจให้เป็นคนดี มีคุณธรรม มีความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ สุจริต มีสติปัญญา ความเพียร ความอดทน และรอบคอบ
                                1.4.1 การกำหนดสิทธิด้านการได้รับการศึกษาของประชาชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540มาตรา 43 ได้กำหนดสาระเกี่ยวกับการศึกษาว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐบาลจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
                                1.4.2 การออก พระราชบัญญัติการศึกษาชาติ พ.ศ. 2542ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อปฏิรูปการศึกษา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่ผลิตคนให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ ผลิตคนให้มีความรู้และมีทักษะเฉพาะด้าน ที่สำคัญคือ ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ภาษาอังกฤษ ปฏิรูปวิธีการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ฝึกให้คิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็น โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข สามารถปรับตัวเข้ากับสังคม สิ่งแวดล้อม รู้เท่าทันโลกและอยู่ได้อย่างมีความสุข
                   2. การปรับตัวของไทยด้านเศรษฐกิจ  กระแสโลกาภิวัฒน์อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศ ระเบียบทางด้านเศรษฐกิจที่เน้นเรื่องการค้าเสรี ทำให้ระบบเศรษฐกิจเชื่อมโยงกัน การเคลื่อนย้ายการผลิต และการลงทุนข้ามชาติ ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่และมีความพร้อมในการแข่งขันสูงเข้ามาแข่งขันกับธุรกิจภายในประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจภายในประเทศที่มีทุนน้อยไม่สามารถแข่งขันได้
                   ปัจจุบันการแข่งขันทางการค้าได้ทวีความรุนแรง ประเทศต่างๆ  มีการกีดกันการค้าโดยใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การกำหนดมาตรฐานสินค้า มาตรฐานแรงงาน การรวมกลุ่มเศรษฐกิจตามภูมิภาคต่างๆ  ของโลกเพื่ออำนวยต่อรองและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสังคมไทยที่สำคัญ คือ การเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี ค.ศ. 1997 และลุกลามจนกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจแห่งเอเชีย วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยต้องปรับตัวทางด้านเศรษฐกิจ ด้วยการปฏิรูปครั้งสำคัญ ทั้งด้านการเมือง สังคม และเศรษฐกิจ โดยการปรับยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจเน้นการพัฒนาบนพื้นฐานการพึ่งตนเอง และเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชน การปรับตัวทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญมีดังนี้
                                2.1 การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์การพัฒนา จากการพึ่งพิงต่างประเทศมาเป็นการพัฒนาที่เน้นการพึ่งตนเอง โดยการนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน โดยมีหลักการพัฒนาทางความคิดดังนี้
                   เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง เศรษฐกิจที่พึงตัวเองได้ ทั้งการพึ่งตนเองทางจิตใจ สังคม ทรัพยากร เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ โดยมีฐานะการคิดในการพัฒนาเป็นลำดับ ดังนี้
                   1) พัฒนาตามขั้นตอนทฤษฎีใหม่ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมี 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 การผลิตเพื่อบริโภคในครอบครัว ขั้นที่ 2 รวมกลุ่มเพื่อการผลิต การตลาด สวัสดิการ และขั้นที่ 3 ร่วมมือกับองค์กรภายนอกในการทำธุรกิจและพัฒนาคุณภาพชิวิต โดยทุกฝ่ายได้รับประโยชน์
                   2) สร้างพลังทางสังคม โดยประสานความร่วมมือทั้งภาครัฐ และเอกชน สื่อมวลชน เพื่อขับเคลื่อนขบวนการพัฒนาธุรกิจชุมชน
                   3) ยึดพื้นที่เป็นหลัก และใช้องค์กรชุมชนเป็นศูนย์กลาง
                   4) ใช้กิจกรรมชุมชนเป็นเครื่องมือสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
                   5) เสริมสร้างการรวมกลุ่ม และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือ
                   6) วิจัยและพัฒนาธุรกิจชุมชนครบวงจร (ผลิต แปรรูป ขาย และบริโภค
                   7) พัฒนาเศรษฐกิจชุมชนที่มีศักยภาพสูงแต่ละเครือข่ายเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ชุมชน
                 ปัจจุบัน ได้มีการนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่นทั่ว ประเทศโดยเฉพาะในโครงการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลชุดปัจจุบันเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของประชาชนในชนบทและชุมชนเมือง ได้แก่ โครงการกองทุนหมู่บ้าน  โครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ ( One Tambon One Produet = OTOP )
 
                             2.2 การพัฒนาตามแนวทางการพัฒนาแบบยั่งยืน การพัฒนาแบบยั่งยืนเป็นแนวคิดที่ผสมผสานระหว่างการพัฒนาเศรษฐกิจและการ อนุรักษ์ทรัพยากรการพัฒนาแบบยั่งยืนจะมีความสัมพันธ์กันทั้งระบบการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมปัจจุบันได้มีการนำแนวคิดการพัฒนาแบบยั่งยืนไปประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาด้านต่าง ๆ เช่น การเกษตรแบบยั่งยืน การจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน การท่องเที่ยวแบบยั่งยืน เป็นต้น
                                2.3 เสริมสร้างความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจระหว่างกลุ่มประเทศในเอเชีย ในระดับที่กว้างขึ้น เช่น แนวความคิดการจัดตั้งเวทีหารือสำหรับประเทศในทวีปเอเชียที่เรียกชื่อว่า Asia Cooperation Dialogue : ACD ซึ่งมีขอบข่ายครอบคลุมทวีปเอเชียทั้งทวีป อันได้แก่ สมาชิกกลุ่มอาเซียน จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ปากีสถาน กาตาร์ บาเรนห์  ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการเสริมสร้างสมรรถนะและแก้ไขจุดอ่อนของแต่ละประเทศเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และเสถียรภาพความมั่นคง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ร่วมกันในเอเชียมากขึ้น
                                2.4 การปฏิรูปภาคธุรกิจเอกชนให้เกิดความเข้มแข็งและความสุจริต โดยการสร้างธรรมาภิบาลด้านเอกชนให้เกิดขึ้น ธรรมาภิบาล (Good Governance) คือ การบริหารจัดการที่ดีจะสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดกับนักลงทุนชาวต่างชาติ หลักธรรมาภิบาลที่สำคัญคือ การบริหารมีความรับผิดชอบ มีความโปร่งใส เสมอภาค และการมีส่วนร่วม ได้แก่ การรับรู้ ร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ และร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ
                   3. การปรับตัวของไทยด้านการเมือง จากกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ ส่วนด้านการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองตนเอง การส่งเสริมการค้าเสรี การเคารพสิทธิของมนุษยชน การพิทักษ์สิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้จะเป็นแรงบีบคั้นให้ประเทศไทยต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัฒน์การปรับตัวทางการเมืองที่สำคัญคือ การประกาศใช้ รัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540และการปฏิรูประบบราชการ ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้
                                3.1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) ถือเป็นการปรับตัวทางการเมืองครั้งใหญ่ สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีข้อกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพ ประสิทธิภาพ และคุณภาพ โดยกำหนดให้มีมาตรฐานทางคณะธรรมและจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อป้องกันการประพฤติมิชอบ โดยการกำหนดให้มีองค์กรอิสระทำหน้าที่ควบคุม กำกับ และตรวจสอบ การทำงานของนักการเมืองและข้าราชการประจำ ได้แก่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)  ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน  ศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลปกครองและคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน  การกระจายอำนาจและส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีความเป็นอิสระในเรื่องการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ท้องถิ่นบริหารงานบุคคลเก็บภาษีอากร มีอำนาจจัดการศึกษา และบริหาร ด้านสาธารณสุข  ตลอดจนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในท้องถิ่น ข้อกำหนดว่าด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน  ที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมนับเป็นความก้าวหน้าอย่างยิ่งของสังคมไทย
3.2    การปฏิรูประบบราชการ  วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ในปี ค.ศ.  1997  เป็นผลมาจากการสะสบปัญหาต่างๆ ที่มีมานานกว่า  30  ปี ปัญหาที่สำคัญประการหนึ่ง ได้แก่ ภาครัฐขาดความสามารถในการบริหารจัดการ และปรับตัวเองได้อย่างทันการ จึงจำเป็นที่จะต้องปฏิรูประบบบริหารภาครัฐโดยปรับปรุงระบบราชการให้มีขนาดเล็กลงและมีประสิทธิภาพ  ปรับเปลี่ยนวิธีการบริหารให้มีลักษณะอย่างภาคเอกชน  มุ่งเน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการบริหาร  โดยใช้มาตรการต่างๆ เช่นการปรับลดกำลังคนของภาครัฐ  การจัดกลุ่มภารกิจส่วนราชการ  การแปรรูปรัฐวิสาหกิจให้เอกชนดำเนินการแทน  การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานเป็นเครือข่าย และร่วมมือกับภาคธุรกิจ เอกชนและประชาสังคมมากขึ้น ปรับรูปแบบบริหารจัดการภาครัฐใหม่ เน้นการทำงานโดยยึดผลลัพธ์เป็นหลัก มีการวัดผลลัพธ์และค่าใช้จ่ายอย่างเป็นรูปธรรม  ปรับเปลี่ยนระบบงบประมาณเป็นแบบมุ่งเน้นผลงานและผลลัพธ์ โดยเปลี่ยนกระบวนการงบประมาณจากควบคุมการใช้ทรัพยากรเป็นระบบงบประมาณที่มุ่งเน้นผลผลิตและผลลัพธ์ของงาน เสริมสร้างระบบการทำงานอย่างเป็นระบบ  โดยการกำหนดเป้าหมายของการทำงานเป็นรูปธรรมโดยมีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจน มีดัชนีวัดผลสัมฤทธิ์ของงานและสามารถประเมินผลงานได้ เน้นความรับผิดชอบของผู้บริหาร  รวมทั้งการปรับเปลี่ยนระบบการเงินและการพัสดุ ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล โดยมีเป้าหมายที่สำคัญเพื่อประชาชนเป็นหลัก
            เป้าหมายสำคัญของการปฏิรูปการเมืองคือ  เพื่อให้ได้มาซึ่งผู้นำที่มีคุณภาพ  และประสิทธิภาพ โดยการยอมรับของประชาชน   ทั้งนี้เพราะศักยภาพของการแข่งขันของไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับระบบบริหารที่มีประสิทธิภาพ มีคุณธรรม  จริยธรรม  ความโปร่งใส  และการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นสำคัญ



พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ  ชินวัตร
ดร.สุรเกียรติ  เสถียรไทย

บทสรุปบทที่ 5

            ปรากฎการณ์โลกาภิวัตน์ อันเป็นผลมาจากความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและความก้าวหน้าด้านการคมนาคม  การเปิดเสรีการค้า และการเมือง  กระแสโลกาภิวัตน์มีผลกระทบทั้งด้านการเมือง  เศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศไทย ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจอย่างรุนแรง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997  เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
            สถานการณ์ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นแรงผลักดันให้สังคมแสวงหาทางออกด้วยวิธีการต่างๆ และได้มีนักคิด  นักวิชาการต่างๆ  ได้เสนอยุทธศาสตร์การพัฒนา  เพื่อเผชิญวิกฤตโลกหลายยุทธศาสตร์ด้วยกัน เช่น ยุทธศาสตร์พุทธศาสนา ยุทธศาสตร์เศรษฐศาสตร์การเมือง  ยุทธศาสตร์วัฒนธรรมชุมชน และยุทธศาสตร์เกษตรยั่งยืนและชุมชนเข้มแข็ง เป็นต้น  เพื่อหาทางออกให้กับสังคมไทยในการกอบกู้วิกฤตของชาติด้านต่างๆ ซึ่งแนวคิดเหล่านี้ได้มีนักพัฒนาทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำไปใช้ในการพัฒนาท้องถิ่น และที่สำคัญที่สุดคือเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำรึในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพัฒนาตามขั้นตอนทฤษฎีใหม่ของพระองค์  ซึ่งประกอบด้วย 3  ขั้น  คือ  ขั้นที่  1  ผลิตเพื่อใช้บริโภคในครัวเรือน   ขั้นที่  2  รวมกลุ่มเพื่อการผลิต การตลาด ความเป็นอยู่ สวัสดิการ  การศึกษา สังคม  และศาสนา  ขั้นที่  3   ร่วมมือกับองค์กรภายนอกในการทำธุรกิจ  และพัฒนาคุณภาพชีวิต  โดยทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  ฉบับที่  9  ค.ศ. 2002 2006  ได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นปรัชญานำทาง  โดยมียุทธศาสตร์การพัฒนา  3  ด้าน คือ  การสร้างรากฐานสังคมให้เข้มแข็ง ปรับตัวสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ รู้เท่าทันโลก และปฏิรูประบบการจัดการสู่ธรรมาภิบาล  ซึ่งยุทธศาสตร์ทั้ง 3  ด้าน  เป็นการปรับตัวทั้งด้านสังคม  เศรษฐกิจ  และการเมือง  ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในสังคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรีมีความเสมอภาคกับนานาประเทศ  และมีบทบาทในเวทีการเมืองของสังคมโลก


คำถามท้ายบทที่ 5
1.การปรับตัวของสังคมไทยในยุคสัญญาเบาร์ริ่ง ทำให้เกิดผลดังนี้ (ตอบมาอย่างน้อย 3 ข้อ)
2.การดำเนินนโยบายของไทยในสงครามโลก ครั้งที่ 1 และ 2 มีละกษณะดังนี้ (ตอบมาอย่างน้อย  3 ข้อ)
3.ในยุคสงครามเย็นประเทศไทยวางตัวดังนี้ (ตอบมาอย่างน้อย  3 ข้อ)
4.ปัจจุบันไทยในสมัยรัฐบาล ฯพณฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มีลักษณะดังนี้ (ตอบมาอย่างน้อย  3 ข้อ)
5.สังคมไทยในอุดมคติของท่านมีลักษณะใด (ตอบมาอย่างน้อย  3 ข้อ)